The Face
เกือบเที่ยงคืนแล้ว หญิงสาวผมดำเป็นมันยาวสาวแหงนหน้าขึ้นมองนาฬิกา แล้วก็ก้มหน้าก้มตารัวมือลงบนแป้นคีบอร์ดต่อ มันคงเป็นเรื่องธรรมดามากๆแล้วสำหรับแอน เบญจมาศ สุริยะสรรค์ เด็กสาวปีสองคณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ทุกวันหลังเลิกเรียน เธอจะต้องมานั่งประจำที่โต๊ะคอมในห้องเช่าสมราคาห้าพันบาทต่อเดือน เพื่อคุยกับเพื่อนๆผ่านอินเตอร์เนต
หากจะว่าไปแล้ว ช่วงนี้คงไม่มีอะไรที่จะสร้างก๊วนเพื่อนได้มากเท่าเฟสบุ๊คอีกแล้ว แอนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่กว่าสี่พันคน เธอรู้จักจริงๆก็ประมาณห้าร้อยคนได้ ที่เหลือ ก็เป็นพวกที่แอดชื่อเข้ามา เสนอตัวขอเป็นเพื่อนกับเธอ ซึ่งก็น้อยคนที่เธอจะปฏิเศษ แน่นอนทีเดียว ก็พวกหนุ่มๆไงละ เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ในเฟฟสบุ๊คของเธอเต็มไปด้วยเพื่อนผู้ชายจากไหนก็ไม่รู้ บางคนแต่ตัวดี ดูมีฐานะ แต่เท่าที่แอนเคยนัดเจอมา มันก็พวกซอมซ่อ แต่ตัวอวดกล้องไปอย่างนั้นแหละ ความจริงแล้วกระจอกสิ้นดี หากจะเทียบกับหงษ์อย่างเธอ พวกนนี้อย่างดีก็คงได้แค่มอง
เวลาผ่านไปเท่าไหร แอนไม่เคยสน แม้ว่าตอนนี้ เธอจะยังอยู่ในชุดนักศึกษาด้วยซ้ำก็เถอะ แต่เพื่อนในเฟสบุ๊คส่งคำถามหาเธอมากมาย จนเธอเองต้องเลือกตอบเป็นบางคน มันทำให้เธอติดหล่ม ไม่อยากที่จะปลีกตัวซักนาทีเพื่อไปเข้าห้องน้ำ หรือแม้แต่รับโทรศัพท์ที่ดังกว่าสี่ครั้ง
และครั้งที่ห้าก็เริ่มดังขึ้นอีก....
“โอ้ย! จะโทรอะไรกันหนักหนาเนี่ย จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว ไม่รู้จักนอนบ้างหรือไง” แอนบ่นคิ้วขมวด เดินกระทืบเท้าไปควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง และเธอก็หยิบไอโฟนคู่ใจขึ้นมา
“ตายห่า....แม่นี่หว่า” แอนพองตาราวกับเห็นผีในเครื่อง เธอเริ่มตั้งสติ และค่อยๆทำตามเคลิ้มไม่ต่างอะไรกับคนเมาฝิ่นและพูดด้วยเสียงงัวเงีย
“สวัสดีค่ะคุณแม่” เธอครางเสียงหมือนคนที่จำใจตื่นนอนเพื่อรับโทรศัพท์ยามดึก
“นี่ยัยแอน นอนแล้วหรือยังเนี่ย แม่เองนะ”คุณหญิงลักขณาหวีดเสียงใส่ลูกสาวเป็นการใหญ่
“ก็กำลังนอนอยู่นี่ไงค่ะ หนูอะหลับไปนานแล้ว ที่ต้องมาตื่นก็เพราะแม่เรียกหนูไงแหละค่ะ”
“จะไม่ให้ฉันหวีนแตกได้ยังไง ก็แกเล่นไปทำตัวมั่วจนคนเขาเอามานินทาได้นะซิ” คุณหญิงกระแทกเสียงกลับ
“แม่ว่าอะไรนะค่ะ หนูเนี่ยนะไปทำตัวมั่วสุม” แอนเบิกตาโพลขึ้นทันที อาการเสแสร้งที่เธอพยามแกล้งทำหายวับไป
“มีคนเขามาบอกแม่ว่าแกไม่ได้เข้าเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว วันๆเอาแต่นัดเพื่อนไปเที่ยว ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ แกมีอะไรจะอ้างไหมห่ะ”
“ใครเป็นคนบอกแม่ค่ะ” แอนสวนกลับ
“จะใครก็ไม่สำคัญ” คุณหญิงเสียงกร้าวขึ้นทุกที “บอกฉันมาซิว่าแกไม่ได้ทำ!”
“ทำค่ะ! หนูทำหนูก็กล้ารับ แต่หนูของบอกเลยนะค่ะ ว่าหนูเข้าเรียนตลอด ไม่เคยขาด หากแม่ไม่เชื่อมาเช็คตารางเข้าเรียนหนูก็ได้”
“นี่แกท้าฉันเหรอ!” น้ำเสียงคุณหญิงเหลืออดเต็มประดา
“เปล่าเลยนะค่ะแม่ หนูแค่แสดงความบริสุทธิ์ใจ จริงอยู่ที่หนูเที่ยว ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ แต่นั้นมันก็หลังจากที่หนูเลิกเรียนแล้วนี่ค่ะ”
สิ้นเสียงแอน เธอได้ยินเพียงแค่ลมหายใจหอบฮืดๆของแม่เธอ แต่ไม่มีเสียใดๆเปล่งออกมาแม้แต่นิด เหมือนคุณหญิงกำลังจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เวลาผ่านไปเกือบสามสิบวินาที ลำโพงโทรศัพท์ของแอนยังคงเงียบกริบ
“แม่ค่ะ...เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ” น้ำเสียงแอนเริ่มกังวล
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก แกไปนอนต่อเถอะ แม่ก็เข้านอนเหมือนกัน” คุณหญิงน้ำเสียงนุ่มลงอย่างน่าตกใจ พระเพลิงในใจของเธอมอดดับลงแล้ว “อ้อ...แล้วเงินที่โอนไปให้เมื่ออาทิตย์ก่อนหมดหรือยัง”
“ยังค่ะแม่ ตอนนี้เหลือห้าพันค่ะ”
“แค่ห้าพันเองเหรอ วันนี้เพิ่งวันพุธเอง มันจะพอไหมละเนี่ย ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้แม่จะได้ป้าเดือนไปโอนให้ก็แล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูอยู่ได้ ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้อะไรอยู่แล้ว”
“เอาเถอะ ถือว่าแม่ให้แกก็แล้วกัน งั้นแค่นี้นะ นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้าเรียนไม่ทันเพื่อนละ”
“ค่ะแม่” และสัญญานโทรศัพท์ก็ตัดไป เด็กสาวกดปิดเครื่องทันที เธอกำโทรศัพท์ไว้แน่น ปากฉิกยิ้มบานจนน่าเกลียด
“ในที่สุดก็ได้เงินใช้อีกแล้วเรา 555+ ว่าแต่...ปากปีจอตัวไหนเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ละเนี่ย” แอนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นก็ลุกขึ้นคว้าผ่าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรสำหรับสิ่งที่แอนทำ ความจริงมันช่างไม่ดีเอาซะเลย สิ่งที่แม่ของแอนรู้นั้น ทุกอย่างมันคือเรื่องจริง แอนไม่ได้เข้าเรียนมาสองอาทิตย์แล้ว ตารางเช็คชื่อของเธอทุกวิชาว่างเปล่า ไม่มีคะแนนเก็บในช่องใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างมันสามารถบอกอนาคตทางการศึกษาของเธอได้เลยว่า “มืดมน” และที่แย่กว่านั้น มีอีกหนึ่งเรื่องที่แม่ของแอนยังไม่รู้ และก็ดูเหมือนว่านางนกต่อที่คอยส่งข่าวเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน นั้นคือ แอนมีแฟนแล้ว และเธอก็กำลังกินอยู่กับแฟนที่หอนอกมหาวิทยาลัย
แฟนหนุ่มของเธอเรียนอยู่ปีเดียวกับเธอ แถมคณะเดียวกันอีกต่างหาก เพราะงั้นสองคนนี้จึงเจอกันทุกวัน คงไม่แปลกเลยหากแอนจะมองชายหนุ่มคนนี้เหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ นั่นคือ หนุ่มหล่อหน้าตี๋ สูง ขาว จมูกโด่ง ทุกๆวันกลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาจะโชยอบอวลดึงดูดสาวๆเป็นต้องหันหลังกลับมามองแทบทุกราย
และคืนนี้ ก็คงจะเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา ความจริงที่แอนอาบน้ำนั้น เธอไม่ได้เตรียมตัวจะเข้านอนแต่อย่างใด แม้ว่ามันจะเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้วก็ตาม แต่ยามนี้แหละ เป็นเวลาที่เธอคอยให้ให้เข็มนาฬิกาชีบอกเวลานี้ทุกคืน เพื่อที่จะได้แต่งตัวสวยๆ แล้วออกไปเที่ยวผับกับเพื่อนตามที่ใจเธอปรารถณา
แอนเดินออกมาจากห้องน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์เธอดังขึ้นพอดี แต่ครั้งนี้ เธอรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดรับทันที
“ฮัลโหล....สวัสดีค่ะ ดิฉัน นางสาวเบญจมาศพูดสายค่ะ ไม่ทราบว่า...”
“พอเลยแก แต่ตัวเสร็จหรือยัง” เสียงต้นสายพูดตัดบท
“เออ เสร็จแล้ว อยู่ไหนแล้วละเนี่ย มารับทีดิวะ”
“อืม ลงมารอหน้าหอก็แล้วกัน เดี๋ยวออกไปรับตอนนี้แหละ”
สาวต้นสายกดตัดสัญญานโทรศัพท์ ขณะที่แอนเริ่มปฎิบัติการเริ่งด่วน เธอปรี่ตรงไปที่หน้าต่าง ปิดม่านเข้าหากันจนสนิท แต่ทว่า สายตาเธอเหลือบมองเห็นแสงไฟจากหอตรงข้าม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอเธอมากนัก ใครบางคนกำลังยืนท้าวแขนบนระเบียง และ...กำลังมองตรงมาที่เธอ แอนไม่ได้คิดประหลาดใจหรืออย่างไร เพราะว่าเป็นเรื่องปกติของเจ้าหมอนี่อยู่แล้ว แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเช้าหรือเย็น ทุกครั้งที่เธอมองผ่านหน้าต่างจากห้องของเธอ ก็มันจะเห็นชายคนนี้จ้องมองกลับมาเสมอ แอนได้แต่คิดในใจเพียงว่า “อย่าหวังจะได้แอ้มฉันหรอก”
มีครั้งหนึ่ง แอนเกิดอารมณ์เสียหลังจบชั่วงโมงแคคูลัส เธอหัวเสียกับคะแนนสอบที่ไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับความมั่นใจขั้นสูงสุดว่าเธอ “ทำข้อสอบได้” แต่ผลคือ เธอได้สี่สิบห้าคะแนน จากหนึ่งร้อยคะแนนเต็ม เมื่อกลับมาถึงหอ อาจไม่ใช่โชคดีของพ่อหนุ่มคนนี้เอาซะเลย ที่บังเอิญพิศวาทสาวแอน ยืนท้าวแขนบนระเบียงจ้องมองตรงมาที่ห้องเธอ
และเหมือนกับว่า แอนเจอช่องทางที่จะระเบิดอารมณ์กับคะแนนวันนี้เข้าซะแล้ว เธอเดินออกนอกห้อง เดินตรงไปประจัญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาจากอีกฝั่งหนึ่ง และ...
“มีปัญหาอะไรไม่ทราบไอ้โรคจิต” เธอตะโกนเสียงลั่น หนุ่มนักศึกษาที่จ้องมองอยู่ฝั่งตรงข้ามยกแขนขึ้นจากราวเหล็กที่เคยพาดอยู่ ตะลึงกับเสียงด่ากราดราวกับกระสุนปืนเอ็มสิบหก
“ไม่ทราบว่าหน้าฉันมันเหมือนญาติข้างไหนของแก เอาแต่จ้องอยู่ได้ และอีกอย่างนะ อยู่ไกลซะขนาดนั่นหากวันหลังมองเห็นฉันแก้ผ้าไม่ถนัดละก็ หัดลงทุนซื้อกล้องส่องทางไกลมาใช่เลยก็จะดีมาก” แอนสติแตก อารมณ์ของเธอถูกปลอดปล่อยจนเกือบหมด เหลืออีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทว่าเสียงด่าสาดของเธอดังก้องไปทั่วทั้งสองหอ ผู้คนเริ่มเปิดประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และตอบความสงสัยของตัวเองว่าเจ้าของเสียงด่าอันหยาบคายนั้นคือใคร
แอนเห็นประตูหลายห้องเริ่มเปิดออก สายตาของพวกที่ออกมาจากประตูนับยี่สิบบานเปิดมองหาที่มาของต้นเสียง แอนไม่รอช้าเธอรู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป นั่นคือกลับเข้าห้องให้เร็วที่สุด
เธอนั่งลงบนเตียง หัวเราะหับเรื่องบ้าๆที่เธอเพิ่งทำลงไปเมื่อกี้นี้ “สนุกเป็นบ้าเลยวะ” เธอหัวเราะ นอนแผ่ลงบนเตียง และเคลิ้มหลับไป
แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมาเป็นเดือนแล้วก็ตาม แอนก็ยังคงไม่รู้ว่าชายคนที่จ้องมองเธอนั้นคือใคร และทำไมถึงต้องจ้องมองเธอเกือบทุกวันซะขนาดนั้น เธอปล่อยให้คำถามนี้คาดใจมาตลอด แต่ก็ไม่คิดหาคำตอบ แต่เชื่อเถอะว่าไม่นาน คำตอบมันจะบอกเธอเอง
บทที่ 2
รถเก๋งคันหรูเปิดไฟสูงบิบแตรตลอดทางเข้าซอยสู่หอแอน และเบรกเอี๊ยดล้อครูดกับถนนจนฝุ่นควันตลบฟุ้งขึ้น หญิงสาวชุดยาวเกาะอกผ้าโปร่งจีฟ็องสีฟ้า เดินตรงเข้ามา
“แกจะบีบแตรทำบ้าอะไรวะ” แอนพูดขึ้นขณะล้วงหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพานใบน้อยสีดำเคลือบมันของเธอ
“ถ้าฉันไม่บีบแกจะลงมาง่ายๆแบบนี้ไหมล่ะ” หญิงสาวอีกคนในรถตอบ ชุดของเธอ รูปแบบดูไม่ต่างอะไรจากแอน หากใครเห็นคงเดาไม่ยากว่าสองคนนี้ต้องซื้อร้านเดียวกันแน่นอน ผิดก็แต่สีเท่านั้นเอง ชุดสีแดงอ่อนๆกับแว่นตาสีดำกรอบใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ ประกอบกับผิวขาวเนียบเหมือนนักร้องดังเกาหลี มันทำให้เธอดูมีราศรีมากกว่าแอนหลายเท่าทีเดียว
“นี่แล้วเมื่อไรแกจะขึ้นรถเนี่ย เดี๋ยวก็โดนพวกต็อดมันด่าเอาอีกหรอก ไปสายอยู่เรื่อยเลย”
“ฉันกำลังหาบัตรประชาชนอะ ไม่รู้ว่าเอามาด้วยหรือเปล่า”
“นี่จะให้ฉันบอกกี่ครั้งมาให้เอาบัตรนั้นยัดใส่กระเป๋าไว้ตลอด เธอเนี่ยไม่รู้เป็นโรคอะไร ชอบเก็บบัตรไว้ในตู้เสื้อผ้าทุกทีเลย”
“อ้อ นี่ไง เจอแล้ว” แอนโชว์บัตรให้ดู ส้มถอดแว่นออก ยิ้มให้เพื่อนสาว
“งั้นก็ขึ้นรถมาได้แล้ว” เธอยักไหล่เป็นนัยต์บอกให้แอนขึ้นรถ
ส้มสตาร์ทรถ และถอยหลังออกนอกซอย
“นี่แอน ที่หลังหากเธอจะสงสารฉันบ้าง กรุณาออกมาคอยหน้าหอหน่อยนะเพค่ะ หอบ้าอะไรไม่รู้ ทางแคบจริงๆเลย” ส้มเปรยประชด
“ได้ค่ะ เพื่อนผู้กรุณา” แอนจิกกลับ
ถนนวันนี้ค่อนข้างโล่ง ต่างจากทุกๆวัน อาจเป็เพราะมันคือวันศุกร์ หลายคนคงกลับบ้านกัน เว้นก็แต่พวกบ้าเรียน หรือไม่ก็พ่อแม่จ้างมาเรียนอยู่แอนและส้ม กับพวกที่หล่อนสองคนกำลังจะไปเจอในผับ ถนนโล่งๆแบบนี้ เข้าทีส้มเลยล่ะ เธอเหยียบไม่ต่ำกว่าแปดสิบ แอนเองก็ไม่ตกใจกลับอะไร กลับรู้สึกชิน และสนุกซะมากกว่า
“เออส้ม ฉันมีอะไรจะเล่าให้แกฟังวะ” แอนเอ่ยขึ้น
“ว่ามา” ส้มตอบรับสั้นๆ สมาธิของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับหมาที่เดินอ่อนแรงอยู่ข้างหน้า และ..ปัง เธอชนหมากระเด็น และไม่แยแสด้วยซ้ำว่าซากของมันจะเละแค่ไหน แถมรู้สึกไม่ต่างอะไรกับใบไม้หนึ่งใบ ที่บังเอิญปลิวมาชนรถของเธอ แอนเองก็เช่นกัน เธอยังคงมุ่งมั่นที่จะเล่าต่อไป
“ตรงข้ามหอฉันมีไอ้โรคจิตคนนึง มันชอบออกมานอกระเบียงแล้วก็มองที่ห้องฉันแทบทุกวันเลยอะแก”
“แล้วไง” ส้มถามเสียงเรียบ เธอหมุนพวงมาลัยตีโค้งรถเลี้ยวซ้าจนพระหน้ารถของเธอกลิ้งตกพื้น
“แล้วไงเหรอ” แอนทวนคำ “ก็กลัวนะซิวะ ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ เอาแต่มาจ้องมองอยู่ได้ ถ้าเป็นแกไม่กลัวบ้างเหรอ”
“ไม่วะ”
“เหอะ! ขอให้จริงเถอะ”
“โถแก กับไอ้แค่คนมามองแค่นี้แกต้องกลัวด้วยเหรอวะ มันก็มองแกมานานแล้ว แต่ก็เห็นมันทำอะไรแกซักนิด จะไปกลัวมันทำมะเขืออะไร” แอนเงียบ เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเธอรู้ดีว่า ต่อให้พูดอย่างไร ยัยเพื่อนคนนี้ก็คงต้องพูดทำนองว่าเธอปอดแหกไปเองอยู่ดี
เสียงซับดังหื่มๆจากลำโพงที่ไหนซักแห้งดังใหล้เข้ามา อันที่จริง เธอทั้งสองคนนั่นแหละที่กำลังใกล้เข้าไปหาที่มาของเสียงนั่น มันคือแหล่งเที่ยวชั้นยอดของชาวกรุงเลยละ สองข้างทางเต็มไปด้วยผับ และผู้คนรสนิยมสูง สังเกตุได้ง่ายจากการแต่งตัว ไม่มีใครซักคนที่ใส่รองเท้าแตะ ผู้หญิงแทบทุกคนสวมชุดไม่ต่างอะไรกับดารา อีกทั้งยังควงชายหนุ่ม หล่อ ล้ำ สูง เหมือนดาราซะนี่กระไร
“แล้ววันนี้นัดพี่เค้าไว้ร้านไหนอะ” แอนถาม
“เดอะเบส” ส้มตอบสั้นๆ สายตาเธอกวาดมองซ้ายขวา รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังหาร้านอยู่ และแน่นอนที่สุด นี่เป็นครั้งแรกของพวกเธอกับร้านใหม่นี้
“ใช่ตรงนั้นหรือเปล่า” แอนชี้นิ้ว “ร้านที่มีหุ่นออสก้าตัวใหญ่ๆยืนถือป้ายอะ” แอนมองตามนิ้วเธอ เหลือบตามองข้อความที่เขียนบนป้ายนั้น “The Best”
“เออๆๆ ใช่แล้วๆ” เสียงส้มดีใจเหมือนเจอร้านลดราคาเสื้อชั้นในฟรี “จอดรถเลี้ยวซ้าย” ส้มอ่านป้ายที่เขียนบอกไว้ข้างร้าน ลุงยามในชุดเครื่องแบบเป่านกหวีด พลากกวาดมือต้อนให้ส้มเลี้ยวเข้าที่จอดรถด้านใน
“ไม่คิดว่าจะหาร้านง่ายขนาดนี้เลยวะ” ส้มหัวเราะ
“ฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแกจะมาผับนี้” แอนพูดเสียงเอื่อย
“มีอะไรเหรอวะแก” ส้มถามเสียงกังวล
“ก็ที่นี่แหละ แฟนเก่าฉันมันบอกเลิกฉันวันวาเลนไทน์อะ” แอนเสียงซึม
“โหย...เพื่อน อดีตมันก็คืออดีต” ส้มกอดคอแอนที่กำลังเดินขาอ่อน ออกนอกลานจอดรถ “แกฟังฉันนะ ข้างในนั้นมีผู้ชายหล่อๆ ดีๆ รวยๆ อีกตั้งไม่รู้กี่คน และสวยๆอย่างแกเนี่ย แต่กระพริบตาก็ได้แล้ว”
“จริงเหรอแก” แอนถามเสียงเครือ
“จริงซิ!” ส้มเน้นเสียง “แกรู้ไหมว่าในบรรดาเพื่อนชะนีที่ฉันมีทั้งหมดเนี่ย แกนะสวยที่สุดแล้ว” ส้มหยุดกึกเอาสองมือจับไหล่แอน สบตากับเธอและยิ้ม วิธีนี้เป็นการส่งทอดกำลังใจที่ได้ผล มันทำให้แอนยิ้มออก
“ไปเถอะเพื่อน อนาคตที่สดใจรอเราอยู่ข้างใน” ส้มจูงแขนเพื่อนสาวเดินผ่านหน้ารูปปั้นออสก้ายืนป้าย และเข้าประตูร้าน พนักงานร่างยักษ์สองคน หน้าไม่รับแขนยืนต้อนรับอยู่ สองสาวรู้ดีว่าต้องทำอะไร เธอล้วงบัตรประชาชนให้สองยักษ์นั้นตรวจ
“เพิ่งยี่สิบเองเหรอ” การ์ดร่างยักษ์เฝ้าประตูถามแอน
“ใช่ค่ะ” เธอรับบัตรคืนจากการ์ดหัวงู “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”
“ไม่หรอกครับ พี่แค่อยากจะรู้ว่าน้องวางแผนแต่งงานไว้หรือยัง” เจ้าของเสียงยิ้มแป้น มันเปลี่ยนความน่าเกรงขามของการ์ด กลายเป็นลูกแมวไล่เขี่ยก้อนไหมพรม แอนถึงกับยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก จนส้มเพื่อสาวของเธอผ่านการตรวจเรียบร้อยต้องเข้ามาช่วย
“หลังเลิกงานกลับบานเอาเงินไปให้เมียแกเถอะไอ้อ้วน!” ส้มเดินตรงเข้ามาใส่พรวดเดียวจบ ลากมือแอนเดินเข้าผับไป ปล่อยให้เจ้ายักษ์ใหญ่ยืนหน้าชา พร้อมฟังเสียงฮาของเพื่อนข้างๆ
เสียงดนตรีภายในผับดังมากจนทำให้แอนรู้สึกเริ่มเมากับเสียง และทำให้เธอได้คำตอบอย่างหนึ่งว่า ทำไมคนที่มาผับ ไม่ได้กินเหล้าเลย ก็สามารถเมาได้ นั่นเป็นเพราะเสียงดนตรีที่ดังเกินไปจนทำให้ระบบสมองสั่นระรัว กับแสงไฟสลัวๆปรับแสงในตาให้เมามัวเพราะบรรยากาศนั่นเอง
“ที่หลังแกควรหัดมีสติบ้างนะ” ส้มตะโกนบอกเพื่อนสาวแข่งกับเสียงลำโพงที่กระหื่มตลอดเวลา “เที่ยวก็บ่อยนะแก ทำไมถึงยังไม่ชินกับลูกเล่นไอ้พวกนี้อีก” ส้นลากแอนเดินมองหาคนที่นัดไว้
“เลิกทำตัวเจี๋ยมเจี้ยม และช่วยฉันมองหาพี่ต๊อดได้แล้ว”
สองสาวเลือกยืนบนจุดที่สูงที่สุดภายในร้านนั่นคือชั้นบนสุดของบันไดที่เดินเข้าร้าน และกวาดตามมองหานายต๊อด ชายหนุ่มอารมณ์ดี ปีสี่คณะศิลปกรรม สัญญานหนึ่งปรากฎขึ้นมา ใครบางคนกำลังโบกมือให้เธอทั้งสอง
“ใช่ที่โบกมือนั่นหรือเปล่าส้ม” แอนตะโกนขึ้น
“เออ!นั่นแหละ” ส้มหันมาหาแอน “แกดูฉันที สวยพอหรือยัง” หญิงสาวยิ้มแก้มปริ
“อืม สวยแล้วละ แต่เธอควรฉีกปากยิ้มให้น้อยกว่านี้นะ ฉันว่าเธอแหกมุมปากมากไปหน่อย” ส้มถอนหายใจพรืดรดหน้าแอน แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะเป้าหมาย แอนเดินตามหลังมาติดๆ